31 มกราคม 2551

เมื่องานทำให้คุณป่วย "โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง"

เมื่องานทำให้คุณป่วย"โรค่ออนเพลียเรื้อรัง"(Hypoglycemia)

คุณมีอาการเหล่านี้หรือเปล่า?

รู้สึกเบื่อหน่าย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ มีอาการทางประสาท เวียนหัว ปวดหัว เหงื่อแตกบ่อยๆมือสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง เบื่ออาหาร จิตใจฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ เนื้อตัวชาเป็นบางครั้ง ท้องอืด ท้องขึ้น มือเย็น เท้าเย็น รู้สึกสับสนปั่นป่วน เป็นตระคริวบ่อย เบื่อการพบปะผู้คน อ้วน น้ำหนักเกินการทรงตัวไม่ดี อยากฆ่าตัวตาย เกิดการชักกระตุกเป็นลมบ่อยๆ ความจำเสื่อม วิตกกังวลง่าย หิวอย่างรุนแรงก่อนถึงเวลา ลังเล ตัดสินใจไม่ได้ อยากกินของหวานๆ กามตายด้าน มีอาการภูมิแพ้ การประสานงานส่วนต่างๆของร่างกายเลวลง คันตามผิวหนัง หายใจไม่ออกบ่อยๆ ฝันร้ายบ่อยๆ ปากแห้ง-คอแห้ง ลมหายใจและปากมีกลิ่นแปลกๆ โมโหร้าย ถ่ายอุจจาระผิดปกติ ถ่ายปัสสาวะผิดปกติ หน้าร้อนผ่าวบ่อยๆ ทนเสียงอึกทึกและแสงจ้าๆไม่ได้ นี้เป็นสัญยานอันตรายจากไฮโปไกลซีเมีย(Hypoglycemia)โรคร่วมสมัยที่เรียกว่า โรคอ่อนเพลียเรื้อรังหรือ Chronic Fatigue Syndroem(CFS)เหตุเกิดเพราะพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตที่ผิดๆ

สาเหตุสำคัญ

มาจากพฤติกรรมการบริโภคที่นิยมน้ำตาลและของหวานมากเกินไป เมื่อกินอาหารเหล่านี้เข้าไป ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง ตับอ่อนก็จะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้ต่ำลง อีกครู่หนึ่งเราก็กินอาหารที่มีน้ำตาลมากเข้าไปอีก น้ำตาลในเลือดก็สูงขึ้นอินซูลินต้องถูกส่งมาลดน้ำตาลอีก เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นแล้วลงต่ำสลับกันไปตลอดเวลา นั่นหมายถึงตับอ่อนต้องทำงานตลอดเวลา

อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน อาจเกิดขึ้นแล้วหายไปแล้วก็กลับมาเป็นอีก แต่การสำคัญคือ เหนื่อยเพลีย นอนไม่หลับ ไม่มีแรง สมองมึนซึม ปวดเนื้อปวดตังเรื้อรัง และระบบขับถ่ายมีปัญหาอยู่ตลอกเวลา หากคุณมีอาการดังกล่าวนี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ต้องรีบปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมการกินโดยด่วนด้วยการงดเติมน้ำตาลในอาหารเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมาก รวมทั้งฟาสต์ฟูดที่มีไขมันและโปรตีนมากเกินไป และดูแลอารมณ์ตนเองด้วย งานมักมาพร้อมกับความเครียด แต่เมื่อใดคุรเครียดร่างกายจะหลี่งฮอร์ดมนอะดรีนาลีน ซึ่งจะกระตุ้นให้ผนังลำไส้ขับกรดออกมามากกว่าปกติ เป็นสาเหตุให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ความดันโลหิตสูง หัวใจทำงานหนักขึ้นประสาทถูกกระตุ้นให้ตื่นตัว จึงนอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจึงขาดดอกาสว่อมแซมตัวเอง สมาธิสับสน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตกต่ำลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้ออื่นๆได้ตามมา

"คุณคิดว่าอาการเหล่านี้ร้ายแรงหรือไม่ และคุณมีความคิดเห็นอย่างไร?"

16 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เป็นข้อมูลที่ดีนะครับ ให้เพื่อนๆทุกคนระวังเรื่องอาหารและความเครียดเรื่อการทำงานด้วยแล้วกันนะครับและที่สำคัญสำหรับพวกชอบกินเหล้าก็ ดพลาๆลงบ้างแล้วกันนะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

นี่คือโรคที่ร้ายแรงที่สุดในสังคมปัจจุบัน แต่ส่วนมากเวลาเครียดให้ทำอย่างไงล่ะค่ะ

Peraporn C. กล่าวว่า...

***** อาการแบบที่กล่าวมาคุณสมบัติของอาการมากมายเหมือนกองทัพ เป็นแล้วไม่น่ารอด **
***** คิดแบบชาวบ้านผู้ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ ใครเป็นก็นับว่าซวยจริงๆ กลุ่มม้าแดง คงไม่มีโอกาสเป็นโรคนี้ เพราะตามภาพเห็นคึกคักไม่มีวี่แววซึมเศร้า ชนแก้วกันหน้าใส Cheers,******

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อาการป่วยของโรคอ่อนเพลียเกิดจากสังคมที่กำลังจะเน่า สังคมและอารมณ์ที่สับสนของผู้คนภาวะของสังคมปัจจุบันทำให้ผู้คนเกิดอาการเครียด และความเครียดทำให้เกิดการเป็นโรคหลายๆๆอย่าง เช่น โรคซึมเศร้าม,โรคมะเร็ง,โรคตับ,โรคความจำเสื่อม,โรดหัวใจ และโรคอ่อนสภาพ เออ!คิดแล้วกลุ้มทุ้มเงินซื้อเหล้ากินดีกว่าฮะๆๆๆ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

กลุ่มม้าแดงและเพื่อนร่วมรุ่นทุกๆๆคนก็มีดีไปคนละอย่าง และก็มีบทเพลงบูชาครูเหมือนกัน.......
ใครคือครู ครูคือใครในวันนี้
ใช่อยู่ที่ ปริญญามหาศาล
ใช่อยู่ที่ เรียกว่าครูอาจารย์
ใช่อยู่นาน สอนนานในโรงเรียน
ครูคือผู้ ชี้นำทางความคิด
ให้รู้ถูก รู้ผิดคิดอ่านเขียน
ให้รู้ทุกข์ รู้ยากรู้พากเพียร
ให้รู้เปลี่ยน แปลงสู้รู้สร้างงาน
ครูคือผู้ ยกระดับวิญญาณมนุษย์
ให้สูงสุด กว่าสัตว์เดรัจฉาน
ปลุกสำนึก สั่งสมอุดมการณ์
มีดวงมาน เพื่อมวลชนใช่ตนเอง
ครูจึงเป็น นักสร้างผู้ใหญ่ยิ่ง
สร้างคนจริง สร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง
สร้างคนให้ ได้เป็นตัวของตัวเอง
ขอมอบเพลง นี้มาบูชาครู

Peraporn C. กล่าวว่า...

อ่านกลอนของ คุณ ชมพู่เน่า ดีจัง ชอบครับ ผมเลยต้องมานั่งเขียนบ้าง
*******
หากปริญญา มีขาย เหมือนกล้วยแขก
คงลดแลก แจกแถมกัน ให้วุ่น
ที่โน่นหั่น ราคา ต่ำกว่าทุน
เพราะว่าคุณ คือลูกค้า ของอาจารย์

ครูใจดี แจกเอ กันเกลื่อนห้อง
ศิษย์ไม่ต้อง เรียนให้เหนื่อย เมื่อยสังขาร
ขอเติมชื่อ กับเพื่อนเพื่อน เพื่อส่งงาน
ยิ้มหน้าบาน เกียรตินิยม ช่างสมใจ

หากเป็นดัง ที่ว่า คงน่าเศร้า
ว่าคนเรา ศักดิ์ศรี อยู่ที่ไหน
มีความรู้ แล้วองอาจ นั้นอย่างไร
ปริญญา สักกี่ใบ ก็ไล้บอย

ให้รักใคร่ กลมเกลียว เช่นเป็นอยู่
เราก็ศิษย์ มีครู สู้ไม่ถอย
อีกสักนิด อีกสักนิด อย่าคิดคอย
กระโดดมา เอ็นจอย กับบทเรียน.

**************Cheers,

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านแล้วใกล้เคียงกับอาการของเรา 4-5 อย่าง
แต่ท่ตรงๆ คือเป็นเบาหวาน แต่ยังชอบทานหวานอยู่ อาการง่วงนอนมีให้เห็นเป็นประจำ น้ำตาลมีขึ้นมีลงตลอดเวลา เหมือนน้ำขึนน้ำลง และที่มีอย่างถาวรคือ ความดันโลหิตสูง ครอเรสทรอรอล ไตรกรีเซอไรซ์ สูงมากๆ แต่พยายามท่จะไม่เครียด แลกินยาอยู่สม่ำเสมอ ขอบคุณบทความดีๆ ของกลุ่มม้าแดง ท่มองเหมือนไม่ค่อยจะมีสาระ แต่มากด้วยความรักและความผูกพันธ์ในกลุ่ม น่านักถือ และถ้าคบให้ซึ้ง จะเห็นว่า กลุ่มน้าแดงเป็นนักศึกษาภาคสมทบกลุ่มหนึ่งที่เหนียวแน่นในความคิด ในความเป็นตัวตน ในความเป็นเพื่อนตลอดไป
kow/21

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

กลุ่มม้าแดงและเพื่อนขอบคุณอาจารย์อย่างสูงเลยครับที่ได้ให้นักศึกษาภาคสมทบที่มีโอกาศแสดงความคิดหลายใน blogs

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ฉันเดินมาหาความหมาย
แต่ต้นจนปลายทางนี้
เหนื่อยล้าแต่ไม่เห็นมี
สิ่งที่เรียกร้องต้องการ
ฉันเดินไปหาความหมาย
แบกกายจนน่าสงสาร
แบกใจจนเกินทนทาน
อีกนานเท่าไรจะได้พบ
ท้อแท้อ่อนล้าแรงไร้
สิ่นแสงตะวันใสเร้นหลบ
ไม่เหลือตอไต้ไฟคบ
เห็นเพียงหลุมศพคนเดินทาง
หรือฉันคิดผิดเพ้อฝัน
บากบั่นมุ่งมาสะสาง
เรียนรู้รับความอ้างว้าง
ทอดร่างเป็นศพอีกคน
.......
ใครช่วยต่อหน่อยอ่ะ..นี่เป็นอาการป่วยชนิดหนึ่งแน่ๆ เพราะตั้งแต่เข้ามาที่เกริกเกิดสำลักอะไรบางอย่าง..อิอิอิ สงสัยแบบที่อาจารย์พีรพรว่าไว้แหงเล้ย!!

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ถ้าคุณป่วยด้วยโรคดังกล่าว ขอให้สบายใจได้ว่าคุณคือ "คนกรุงฯ.." (กรุงเทพฯ นะไม่ใช่กรุงศรีฯ)เพราะคนบ้านนอกจะไม่มีอาการเช่นที่ว่านี้ ดังนั้นหากมีอาการข้างต้นสิ่งที่คุณต้องรีบทำโดยทันทีคือ
1.เก็บเงิน(ถ้าทำไม่ได้ให้ข้ามไปข้อที่ 2-4-5-6-8)
2.ลาพักร้อน
3.ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วไทย / ทั่วโลก
4.ไป 7-11 ซื้อแป้งเย็นตรางู
5.นุ่งผ้าขาวม้า / สวมเสื้อคอกระเช้า+ผ้าถุงลายเลิศ
6.เปิดวิทยุฟังเพลงนอนเล่นที่บ้าน
7.ไม่รับฟังข่าวสารใดใด / ปิดมือถือ /ไม่รับ e-mail
8.ต่อจิ๊กซอว์ มันดีสำหรับสมองของคนยุค boomers
ถ้าทำได้เพียงปีละ 10-15 วันรับรองอาการข้างต้นจะหายไปโดยไม่ต้องไปพึ่งหมอ..ลองดูแล้วกัน(ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ชอบคำแนะนำของ แมวตายคาโอ่ง DEAD CAT IN A TANK เป็นเรื่องจริงของคน กทม.ที่ควรปฎิบัติ แต่กลุ่มม้าแดงเค้าไม่ตายคาโอ่ง แต่จะตายคาอ่างกัน เพราะม้าแดงมีวิธีผ่อนคลายที่น่าสนใจเกี่ยวกับอ่าง อิอิ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ในกลุ่มม้าแดงยังมีผู้ที่ไม่ประสงค์จะตายคาอ่าง แต่ขอตายคาโอ่งจะดีกว่าเพราะมันอุ่นดี

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

Boy, Hm...zz change my surname immediatly! if so..I'd kill you..zzzz..

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

นัตถิ ปัญญา สมาอาภา แสงสว่างใดเสนอด้วยปัญญาไม่มี *** คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ยังคงเป็นความจริงมาทุกยุคทุกสมัย แม้นกระทั่งเมื่อถึงยุคโลกาภิวัฒน์ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอย่างบิล เกต ยังมีอาชีพขายปัญญา ที่พัฒนาปรับปรุงออกมาเป็นสินค้าที่เรียกว่า "ซอฟต์แวร์" เพราะปัญญาคือทรัพย์สินที่มีค่าที่ของมนุษย์ที่ขายได้ และขายแล้วยังอยู่กับตัวเจ้าของเองบุคคลใดสามารถใช้สติปัญญาของตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุดและยังสามารถจัดการปัญญาของผู้อื่นให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุดบุคคลนั้นย่อมประสบควาสำเร็จไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

I agreed with Mr.Peraporn C. ka

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เช่นเดียวกับคุณ PRIM เห็นด้วยกับ อ. พีรพร คะ